วางแผนความมั่นคง ส่งต่อความมั่นใจกับประกันคู่ชีวิต LGBTQ+

วางแผนความมั่นคง ส่งต่อความมั่นใจกับประกันคู่ชีวิต LGBTQ+

เพราะคู่ชีวิตคือการได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ดูแลกันและกันตลอดไป แต่ถ้าวันนึงมีคนใดคนหนึ่งต้องจากไปก่อน คนที่เหลืออยู่ต้องสู้ต่อไปให้ได้ คู่รัก LGBTQ+ เองก็ไม่ต่างไปจากคู่รักอื่นๆ ที่อยากใช้ชีวิตกับคนที่เรารักตามแบบอย่างคู่รักทั่วไป สร้างอนาคตร่วมกัน ดูแลกันทั้งในยามสุขหรือในยามที่เจ็บป่วย แต่อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอนและไม่มีใครคาดเดาได้ หากวันนึงเกิดอะไรขึ้นกับเราจริง ๆ  สิ่งหนึ่งที่จะดูแลคู่ชีวิตแทนเราได้ก็คือ ประกันชีวิต ที่เราสามารถยกผลประโยชน์ให้กับคนข้างหลังได้ ตอบโจทย์ทั้งออมเงิน ลดหย่อนภาษี และยังเป็นการเตรียมเงินก้อนไว้ให้อีกคนในวันที่เราจากไป

ก่อนซื้อประกัน ควรเลือกจากอะไรบ้าง?
ก่อนอื่นขอเริ่มจากหลายคำถามที่หลายคนสงสัยว่าถ้าเรายังไม่เคยทำประกันชีวิตมาก่อนเลย หรือเราจะสามาถทำประกันชีวิต LGBTQ+ ได้มั้ย และถ้าเรายังไม่มีประกันอะไรเลย เราควรเลือกซื้อจากอะไรบ้าง เพราะด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เราไม่สามารถจะซื้อประกันได้หลายรูปแบบในเวลาเดียวกัน วันนี้แอดเลยขอมาบอกตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าก่อนที่เราจะซื้อประกันควรเลือกจากอะไร

สำรวจตัวเอง และคนในครอบครัว
ก่อนที่เราจะซื้อประกัน ควรต้องดูว่าตัวเองหรือคนในครอบครัว มีจุดประสงค์ในการซื้อเพื่ออะไร เช่น ซื้อประกันเพื่อออมเงิน, เพื่อสร้างหลักประกันให้ข้างหลัง, เพื่อแบ่งเบาค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น เพราะประกันชีวิตมีหลากหลายรูปแบบ หากทราบจุดประสงค์ จะทำให้เลือกแผนประกันได้ตรงกับความต้องการที่สุด

ดูความคุ้มค่า
ลองดูว่าประกันที่เราเลือก ให้ความคุ้มครองและผลตอบแทนตอบโจทย์ที่เราต้องการมั้ย โดยอาจเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันหลายๆที่ เพื่อให้ได้แผนประกันที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับเรา

ความพร้อมในการจ่ายค่าเบี้ย
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ต้องดูว่าเราจ่ายค่าเบี้ยไหวมั้ย โดยแนะนำให้เลือกระยะเวลาจ่ายเบี้ย และทุนประกัน ที่เหมาะสมกับกำลังของเรา เพื่อให้สามารถเก็บออมได้แบบไม่สะดุด หรืออาจเลือกประกันที่สามารถทยอยจ่ายเบี้ยแบบรายเดือนได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักจนเกินไป

ประกันชีวิตเพื่อคู่ชีวิต ในวันที่เราจากไป
คู่รัก LGBTQ+ก็เหมือนกับคู่รักทั่วไป ที่อยากสร้างอนาคตร่วมกัน ดูแลกันทั้งตอนที่มีความสุข รวมถึงเวลาที่เจ็บป่วย แต่ในปัจจุบันคู่ชีวิต LGBTQ+ ยังไม่ได้รับสิทธิพื้นฐานเหมือนคู่สมรสทั่วไป เช่น ไม่สามารถรับมรดกของคนรักในกรณีที่คนรักจากไปได้ หรือถ้าคนใดคนนึงป่วยเป็นโรคร้ายที่มีค่ารักษาสูงมาก คู่ชีวิตอีกคนก็ไม่สามารถใช้สวัสดิการรักษาพยาบาลของตัวเองมาช่วยได้เนื่องจากไม่ใช่คู่สมรสตามกฏหมาย

การทำประกันชีวิตเป็นแนวทางหนึ่งที่ข่วยจัดการบางปัญหาได้ หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่ากรมธรรม์ประกันส่วนใหญ่เปิดกว้างในเรื่องผู้รับผลประโยชน์ที่สามารถจะให้เป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสายเลือดเดียวกัน ดังนั้น คู่รักLGBTQ+ สามารถวางแผนทำประกันไว้ดูแลทั้งตัวเองและคู่ของเราในวันที่เราจากไป

ซึ่งประกันชีวิตฮอตฮิตที่สุดก็คือ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) เพราะให้ความคุ้มครองเป็นระยะเวลานาน หากเสียชีวิตในระหว่างสัญญาบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ แต่ถ้าหากผู้เอาประกันภัยยังคงมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา 85 ปี 89 ปี 90 ปี 95 ปี หรือ 99 ปี ขึ้นอยู่กับแบบประกัน บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย

ข้อดีคือให้ความคุ้มครองนานทั้งชีวิต จึงขอแนะนำประกันชีวิตแบบตลอดชีพสำหรับเป็นมรดกให้กับคู่ชีวิตหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต และแนบสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ทำให้ได้ความคุ้มครองครบทั้งชีวิตและสุขภาพ

ประกันชีวิตตลอดชีพเหมาะกับใครบ้าง?
คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือเป็นเสาหลักของบ้าน เพื่อเป็นหลักประกันให้คนข้างหลัง
คนที่ต้องการมีมรดกให้กับคนรัก ลูกหลาน
คนที่ต้องการความมั่นคงในชีวิต และหมดห่วงกับคนข้างหลัง หากวันนึงที่เราต้องจากไปก่อน

ประกันสุขภาพ โรคเล็กโรคร้ายก็มีคนจ่ายให้
อย่างที่บอกไปว่าเมื่อทำประกันชีวิตแล้วก็ควรมีประกันสุขภาพด้วย เพราะจะได้รับความคุ้มครองครบทั้งชีวิตและสุขภาพ ซึ่งประกันสุขภาพจะแตกต่างกับประกันชีวิตตรงที่ประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วย ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่ายารักษา ไปจนถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่กำหนดเอาไว้ในกรมธรรม์ นอกจากนี้ ประกันสุขภาพบางตัวยังมีการชดเชยค่าใช้จ่ายในกรณีที่เสียชีวิตอีกด้วย

ส่วนประกันชีวิตจะให้ความคุ้มครองในกรณีที่เสียชีวิตเท่านั้น แต่การซื้อประกันชีวิตเรายังยังสามารถเลือกกรมธรรม์ที่สะสมทรัพย์ สร้างผลตอบแทน หรือ เลือกผู้รับผลประโยชน์ได้ตามต้องการ ดังนั้นการมีประกันสุขภาพ จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญที่ทุกคนควรมีไว้ เพราะประกันสุขภาพจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการรองรับความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ รวมถึงโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ช่วยดูแลค่าใช้จ่าย ทั้งค่าห้อง ค่ายา หรือค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าจะโรคระบาด โรคร้ายแรง โรคทั่วไป หรืออุบัติเหตุซึ่งแอดสรุปมาให้สั้น ๆ สำหรับข้อดีของประกันสุขภาพ

ลดหย่อนภาษีได้
ประกันสุขภาพสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาการจ่ายภาษีในแต่ละปีไปได้เยอะ รวมถึงยังสามารถนำเงินที่ได้จากการลดหย่อนไปใช้ในการลงทุนต่างๆ เพิ่มเติม ถือว่าเป็นการวางแผนทางด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพ

คุ้มครองทั้งโรคทั่วไปและโรคร้ายแรง
ในการซื้อประกันสุขภาพเหมาจ่ายสักหนึ่งกรมธรรม์อาจจะต้องดูถึงรายละเอียดความคุ้มครองต่างๆ ให้ดี และควรเลือกกรมธรรม์ที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด เช่น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และเลือกประกันสุขภาพเหมาจ่ายรูปแบบไหนที่คิดว่าตอบโจทย์กับการใช้ชีวิต ยิ่งในปัจจุบันประกันประเภทนี้ยังให้ความคุ้มครองในหลายๆ โรค ทำให้อุ่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยก็จะช่วยแบ่งเบาเรื่องต่างๆ ไปได้บ้าง

เป็นตัวช่วยในเรื่องดูแลค่าใช้จ่ายจากการรักษา
อีกหนึ่งเหตุผลที่หลายคนเลือกที่จะซื้อประกันสุขภาพเหมาจ่ายเอาไว้ก็คือ หากอยู่ๆ เจอกับโรคร้าย หรือมีปัญหาสุขภาพขึ้นมาจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแบบเร่งด่วน หรือเป็นโรคที่อยู่ในความคุ้มครอง สามารถเบาใจได้ว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคุณจะได้รับการแบ่งเบา ไม่ต้องเดือดร้อนครอบครัวที่ต้องไปหาค่ารักษาพยาบาลต่างๆ มาดูแ

จะเห็นได้ว่าประกันชีวิตและประกันสุขภาพมีความจำเป็นกับชีวิตมาก เพราะร่างกายของคนเราก็เสื่อมถอยลงลงเรื่อยๆ ตามเวลาอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการเลือกทำประกันไว้ก่อนเพื่อรองรับความเสี่ยงของตัวเองอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากวันนึงเราต้องจากไปก่อน คนที่ยังอยู่ก็ยังสู้ต่อไปได้

Scroll to Top